วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"วัดโพธิญาณ"แดนจิงโจ้"บวช"ภิกษุณี ถูกเลิกสังฆกรรม ชี้เจ้าอาวาสละเมิดเอง ทั้งที่ดูแลสาย"หลวงปู่ชา"

วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 11:11:18 น.  มติชนออนไลน์

"วัดโพธิญาณ"แดนจิงโจ้"บวช"ภิกษุณี ถูกเลิกสังฆกรรม ชี้เจ้าอาวาสละเมิดเอง ทั้งที่ดูแลสาย"หลวงปู่ชา"

"วัด โพธิญาณ"เมืองจิงโจ้ ละเมิดระเบียบสงฆ์ไทย "บวช"ให้"ภิกษุณี" คณะสงฆ์วัดหนองป่าพงมีมติถอดออกจากวัดสาขา เลิกสังฆกรรม โฆษก มส.ชี้เจ้าอาวาสวัดละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ ทั้งที่เป็นถึงพระราชาคณะชั้นสามัญ ลูแดวัดสาย"หลวงปู่ชา"

นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมว่า จากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้รับทราบมติของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ที่มีมติให้ถอดวัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ออกจากการเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง เนื่องจากคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ ซึ่งมีพระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เป็นเจ้าอาวาส ดำเนินการอุปสมบทให้กับภิกษุณี ซึ่งถือว่าขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ทางคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง จึงมีมติให้ถอดวัดโพธิญาณออกจากการเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง


นายอำนาจ กล่าวว่า ดังนั้นจะหมายความว่า วัดดังกล่าวไม่มีต้นสังกัดดูแล และจะส่งผลให้ไม่ได้รับการดูแลจากทาง พศ. และ มส.ด้วย หรือเรียกได้ว่าจะไม่มีการร่วมสังฆกรรม เพราะถือว่าวัดโพธิญาณไม่เชื่อฟัง ไม่อยู่ในโอวาทของวัดต้นสังกัด อย่างไรก็ตาม สถานภาพของวัดยังคงอยู่ เพราะได้รับการอนุญาตจากทางประเทศออสเตรเลียแล้ว แต่หลังจากที่มีมติของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงออกมา วัดดังกล่าวจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทางฝั่งไทย ในส่วนของพระธรรมทูตจากไทย หากต้องการไปจำพรรษาที่วัดโพธิญาณ ก็จะไม่ได้รับการอนุญาต ขณะเดียวกันทาง พศ.จะแจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศออสเตรีเลียให้ทราบด้วย


ด้านพระธรรมกิตติเมธี โฆษก มส.กล่าวว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เจ้าอาวาสวัดเป็นถึงพระราชาคณะชั้นสามัญ ไม่น่าที่จะดำเนินการในเรื่องที่ขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์แบบนี้ อีกทั้งวัดโพธิญาณเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ที่ก่อตั้งโดยหลวงปู่ชา สุภัทโท ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ได้รับการยอมรับว่า เคร่งครัดในเรื่องการปฏิบัติมากที่สุดรูปหนึ่งของประเทศไทยด้วย แต่กลับมีการกระทำที่ละเมิดระเบียบของคณะสงฆ์เสียเอง


"การกระทำของพระวิสุทธิสังวรเถร ถือว่าเป็นการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ เพราะไม่อยู่ในโอวาทของครู อาจารย์ที่เคยตักเตือนมาแล้ว ส่วนจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ต้องรอดูการพิจารณาของทางคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงอีกครั้ง แต่เบื้องต้นทาง มส.รับทราบมติของทางวัดหนองป่าพงแล้วว่า ได้ถอดวัดโพธิญาณออกจากการเป็นวัดในสังกัดแล้ว" พระธรรมกิตติเมธี กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการอุปสมบทภิกษุณีที่วัดโพธิญาณ มีผู้นำมาเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ www.alittlebuddha.com โดยลงรายละเอียดว่าเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2552 โดยมีการอุปสมบทให้กับผู้หญิงชาวต่างประเทศ 4 คน มีภิกษุณีอยยา ทถาโลก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวิสุทธิสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุชาโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ไทย เพราะมีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ.2471 ห้ามภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยทำการอุปสมบทให้แก่สตรี และคำวินิจฉัยของ มส.ในการประชุมครั้งที่ 28/2527 และครั้งที่ 18/2530 ห้ามภิกษุสงฆ์ทำพิธีอุปสมบทให้สตรีเป็นภิกษุณี ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้ว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1261235531&grpid=04&catid=



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://www.healthstation.in.th/index1.html
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/
http://gotoknow.org/blog/krunoppol/
http://baankruaeed.wordpress.com/
http://ngaochan.hi5.com/
http://www.oknation.net/blog/subaltern
http://gotoknow.org/migrantworkers

เปิดประวัติ เจ้าอาวาส "ฝรั่ง" วัดโพธิญาณ ผู้หาญกล้าฝืนพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช บวช "ภิกษุณี"










ชวนม่วนชื่น

วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 16:19:44 น.  มติชนออนไลน์

เปิดประวัติ เจ้าอาวาส "ฝรั่ง" วัดโพธิญาณ ผู้หาญกล้าฝืนพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช บวช "ภิกษุณี"

จากกรณีคณะสงฆ์ วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี มีมติให้ถอดวัดโพธิญา ณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ออกจากการเป็นสาขาของวัด เนื่องจากคณะสงฆ์ของวัดที่มี พระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เป็นเจ้าอาวาส ดำเนินการอุปสมบทให้กับภิกษุณีซึ่งเป็นการขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาท


ทำให้นามของ พระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เจ้าอาวาส เป็นที่สงสัยใคร่รู้ของผู้ที่ไม่อยู่แวดวงสงฆ์ว่า เหตุใด พระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เจ้าอาวาสวัดไทย เชื้อสายผู้ดีอังกฤษนี้เป็นใครมาจากไหน


พระวิสุทธิสังวรเถร หรือพระอาจารย์พรหมวังโส  (Ven. Ajahn Brahmavamso) ท่านเป็นศิษย์พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง) โดยท่านเป็นชาวอังกฤษ-ออสเตรเลีย เดินทางจากประเทศออสเตรเลีย แล้วมาบวชกับ "หลวงปู่ชา"


ท่านอาจารย์พรหมวังโส เกิดที่กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2494 ท่านหันมานับถือพุทธศาสนาเมื่อ อายุ 16 ปี หลังจากที่ได้อ่านหนังสือธรรมะขณะที่ยังเป็นนักเรียนมัธยม ความสนใจในพระพุทธศานา และการทำสมาธิภาวนาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ขณะที่ท่านกำลังศึกษาวิชาฟิสิกส์ทฤษฎี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์


หลังจากเรียนจบท่านได้ทำงานเป็นครู อยู่ 1 ปี ก่อนตัดสินใจเดินทางมาบวชที่ประเทศไทย ท่านบวชเมื่ออายุ 23 ปี ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยมีพระพรหมคุณาภรณ์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระพุทธจารย์) เป็นอุปัชฌาย์ จากนั้นท่านได้ไปสู่สำนักของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ อุบลราชธานี มอบตัวเป็นศิษย์ศึกษาธรรมะ ทั้งธุดงควัตร และอบรมจิตใจในด้าน วิปัสสานาธุระ เป็นเวลา 9 ปี


ในปี 2526 ท่านได้รับอาราธนาให้ไปช่วยก่อตั้ง วัดป่าใกล้เมืองเพิร์ธ ทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบัน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าโพธิญาณ และประธานทางจิตวิญญาณของพุทธสมาคมแห่งออสเตรเลียตะวันตก และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระราชาคณะ" มีนามว่า "พระอาจารย์พรหมวังโส" เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549


"ชวนม่วนชื่น" หรือ ชื่ออังกฤษว่า "The Opening the Door of Your Heart" หนังสือธรรมะบันเทิงเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าที่พระอาจารย์พรหมวังโสได้ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ที่ได้บวชเป็นพระในสายวัดป่านิกายเถรวาท เขียนเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งนิทานสอนใจในพระพุทธศาสนา และการปฏิบัติภาวนาในต่างประเทศมาถ่ายทอดเป็นเรื่องเล่าผ่านหน้ากระดาษ


พระอาจารย์พรหมวังโส เกิดมาในครอบครัวยากจนมาก แต่ด้วยเป็นเด็กหัวดีเลยได้ทุนไปเรียนที่เคมบริดจ์ เป็นเส้นทางเริ่มต้นนับถือศาสนาพุทธจนกระทั่งบวชเป็นพระตลอดชีวิต โดยท่านกล่าวว่า เกิดจาก "ความผิดพลาด" ซึ่งเกิดจากเรื่องร้ายในชีวิตหลายๆ ครั้งการทำผิดพลาด กลับทำให้เกิดสิ่งดีๆ กับชีวิตแทน


"วันนั้นจะเดินไปซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ แต่เดินไปผิดชั้น ดันไปชั้นหนังสือของศาสนาเลยเอาทุกศาสนามาอ่าน และพบว่าพุทธศาสนาน่าสนใจมาก และตรงกับใจตั้งแต่บัดนั้นก็สนใจอย่างจริงจัง เข้าอบรมทำสมาธิตลอด"


อย่างไรก็ตาม ท่านเคยกล่าวถึงการเปลี่ยนตัวเองจากนักศึกษามาเป็นพระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่เรื่อง ง่ายนัก ต้องสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตภายในและหน้าที่อื่นๆ ภาระงานของพระจึงมีจำนวนมาก มิใช่เพียงการนั่งนอน อ่านหนังสือธรรมะไปวันๆ เหมือนที่หลายคนเข้าใจ โดยพระอาจารย์พรหมวังโสเชื่อว่า ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ พระพุทธศาสนาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยการทำให้เกิดความไว้วางใจและการแบ่งปัน นอกจากนี้ ศาสนาพุทธในต่างประเทศยังเป็นที่ต้องการจะเรียนอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป แต่ไม่มีพระเพียงพอ


กับข่าวการ "อุปสมบท" ให้กับภิกษุณี และมติถอดวัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ออกจากการเป็นสาขาของวัด คงต้องติดตามต่อไปว่าประเทศออสเตรเลียจะยังคงมีวัดไทยแห่งนี้ต่อไปอีกหรือ ไม่


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1261387367&grpid=&catid=02
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://www.healthstation.in.th/index1.html
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/
http://gotoknow.org/blog/krunoppol/
http://baankruaeed.wordpress.com/
http://ngaochan.hi5.com/
http://www.oknation.net/blog/subaltern
http://gotoknow.org/migrantworkers

ปัญหาไม่ใช่แค่ "บอร์ดการบินไทย" / เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะกรมศุลากรได้ปล่อยปละละเลยหรือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีการเก็บภาษีจริงหรือไม่


วัลลภ พุกกะณะสุต

วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 20:30:40 น.  มติชนออนไลน์

ปัญหาไม่ใช่แค่ "บอร์ดการบินไทย"

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆที่เป็นขุมทรัพย์ของผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามาแสวงหาประโยชน์อย่างเป็นล่ำเป็นสันมาเป็นเวลานาน


วิธีการหลักๆ ในการเข้ามหาประโยชน์คือ การจัดซื้อจัดจ้างมูลค่าสูงๆ ผลักดันให้ดำเนินโครงการขนาดใหญ่ และกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง จากนั้นส่งคนของตนเอาเข้ามาเป็นผู้บริหารหรือะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง


จึงไม่ใช่เรื่องแปลก (แต่ไม่ถูกต้อง) ที่จะเห็นบุคคลที่เป็นคนใกล้ชิดของผู้มีอำนาจฯ มาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจแบบที่ขำไม่ออก เช่น สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ส่งพ่อค้าพริกไทยมาเป็นกรรมการการบินไทย หรือปัจจุบันมีพี่ชายคนสนิทของ "พี่เน" เป็นกรรมการต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายสมัคร


แม้จะมีระเบียบว่า หนึ่งในสามของกรรมการรัฐวิสหกิจต้องแต่งตั้งจากบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิที่ขึ้น บัญชีไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและมี พ.ร.บ.คุณสมบัติและมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ กำหนดคุณสมบัติกรรมการโดยเน้นมิให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและการห้ามมีผล ประโยชน์ทับซ้อน แต่ผู้มีอำนาจก็อาศัยความ "หน้าด้าน" เลี่ยงกฎหมายส่งคนของตนเองเข้ามาเป็นกรรมการอยู่ดี


จึงเป็นไปได้ยากที่บุคคลเหล่านี้จะรักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจที่ตนเป็นกรรมการ นอกจากผลประโยชน์ของ "นาย" และของตนเอง


พฤติกรรมของกรรมการการบินไทยรายหนึ่งที่ตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่า ขนสัมภาระ 40 ชิ้น น้ำหนักกว่า 500 กิโลกรัมในเที่ยวบินโตเกียว-กรุงเทพ เมื่อกลางพฤศจิกายนที่ผ่านมา และยังใช้ช่องทางพิเศษที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่เสียภาษีศุลากรอีกด้วย บ่งบอกได้อย่างดีว่า กรรมการการบินไทยรายดังกล่าวซึ่งได้รับการหนุนหลังจาก "พี่เน" (เหมือนกับคนในตระกูลเดียวกันทำให้มีอำนาจอยู่ในแวดวงตลาดทุน) รักษาผลประโยชน์ของใคร


ปัญหาที่เกิดขึ้นนอกจากชี้ให้เห็นว่า การบริหารจัดการในการบนินไทยหละหลวม ไร้กฎเกณฑ์ กรรมการและฝ่ายบริหารสามารถใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจแล้ว ยังทำให้เห็นปัญหาอื่นทั้งในการบินไทยและหน่วยงานอื่นของรัฐ อาทิ


หนึ่ง โครงสร้างการบริหารรัฐวิสาหกิจไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่รัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีฐานะเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ แต่กรรมการบริษัทไม่รู้จักอำนาจหน้าที่ของตนเองว่า มีหน้าที่เพียงกำหนดนโยบาย กำหนดยุทธศาสตร์ ติดตามประเมินผลฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามนโยบายและกฎหมาย


แต่นี่กลับล้วงลูกทั้งในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานระดับกลาง ถึงผู้อำนวยการฝ่าย เข้าไปทำหน้าที่แทนฝ่ายบริหาร  ทำให้ผู้บริหารที่ได้รับการสรรหาไม่มีอำนาจที่แท้จริง ไร้น้ำยา เพราะพนักงานมักจะวิ่งเข้าหากรรมการซึ่งเป็นผู้มีอำนาจแท้จริง


การบินไทยนั้น มีงบประมาณมหาศาลทั้งในการจัดซื้อจัดจ้างและด้านการตลาด ทำให้กรรมการบริษัทต้องการเข้ามามีอำนาจโดยเฉพาะงบฯด้านการตลาดปีละกว่า 2,000 ล้านบาท อำนาจการอนุมัติใช้เงินก้อนนี้อยู่ที่ประธานคณะกรรมการบริหารคือ นายวัลลภ พุกกะณะสุตซึ่งเป็นกรรมการบริษัท แทนที่จะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร


สอง ไม่ใช่กรรมการรัฐวิสาหกิจที่ผู้มีอำนาจฯส่ง เข้ามาเท่านั้นที่ก่อปัญหา กรรมการรัฐวิสาหกิจที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็อาจก่อปัญหาได้เช่นเดียว กัน


ลองไปพลิกดูชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ มีผลตอบแทนในรูปเบี้ยประชุมและโบนัสสูง จะพบชื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นกรรมการอยู่เพียบ


แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ไม่เคยสนใจดูว่า อำนาจหน้าที่หรือตำแหน่งที่ตนเองดำรงอยู่นั้นขัดแย้งกับการเข้าไปทำหน้าที่ กรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือไม่ อาทิ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติด้วย


แต่นายอำพนกลับยอมรับเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)ซึ่งโครงการลงทุนของ ปตท.และบริษัทในเครือ จำนวนมากต้องผ่านความเห็นชองของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ


จึงน่าจะมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนว่า การที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รายใดจะรับเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจใด ต้องไม่ขัดแย้งกับอำนาจหน้าที่ตามกำหมายของตนเอง


สาม ถ้ากรรมการการบินไทยรายดังกล่าวใช้ช่องทางพิเศษในสุวรรณภูมิขนสินค้าเข้ามาจำนวนมากโดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรจริง


คำถามคือ มีผู้ยิ่งใหญ่และผู้มีอำนาจทางการเมือง ใช้ช่องทางพิเศษแบบเดียวกันขนสินค้าเข้ามาโดยไม่ต้องเสียภาษีมากมายขนาด ไหน  เพราะเมื่อผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เดินทางไป-กลับแต่ละครั้งจะมีข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐแห่แหนไปอำนวยความสะดวก


เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะกรมศุลากรได้ปล่อยปละละเลยหรือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีการเก็บภาษีจริงหรือไม่


รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้รื้อแดนสนธยาที่สนามบินสุวรรณภูมิ มิให้มีการกระทำตามอำเภอใจได้ต่อไป


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1261135496&grpid=&catid=02
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://www.healthstation.in.th/index1.html
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/
http://gotoknow.org/blog/krunoppol/
http://baankruaeed.wordpress.com/
http://ngaochan.hi5.com/
http://www.oknation.net/blog/subaltern
http://gotoknow.org/migrantworkers

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สำนักงานเลขาธิการฯ เตรียมตั้งศูนย์ส่งเสริมประชาธิปไตยเพิ่มอีก 3 แห่ง

 

 

 

สำนักงานเลขาธิการฯ เตรียมตั้งศูนย์ส่งเสริมประชาธิปไตยเพิ่มอีก 3 แห่ง

17 ธ.ค. 52 –            รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เผยในปี 2553 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเตรียมตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายประชาธิปไตย เพิ่มอีก 3 แห่ง พร้อมระบุมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

                นายคัมภีร์  ดิษฐากรณ์  รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายประชาธิปไตย ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่า ในปี 2552 สำนักงานได้ตั้งศูนย์ดังกล่าวไปแล้ว 3 แห่ง คือที่จังหวัดอุบลราชธานี เชียงราย และสงขลา สำหรับในปี 2553 นั้น ทางสำนักงานฯ มีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง ส่วนจะตั้งที่จังหวัดใดนั้นจะต้องดูความพร้อมและความเหมาะสมก่อน อย่างไรก็ตามภารกิจของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในด้านการเผยแพร่และพัฒนาประชาธิปไตยที่ต้องดำเนินการในปี 2553 ยังมีอีกหลายภารกิจที่จะต้องสานต่อจากปี 2552 เช่น โครงการยุวชนประชาธิปไตย การประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้น บทกวี พานแว่นฟ้า  โครงการสร้างองค์ความรู้ให้กับเยาวชนในโรงเรียนระดับมัธยม เป็นต้น ซึ่งโครงการต่างๆ ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดทำขึ้นนั้นก็เพื่อขยายเครือข่ายและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด เพราะในปัจจุบันยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นภาทิพย์  นูโพนทอง  ผู้สื่อข่าว

มันทนา  ศรีเพ็ญประภา  ผู้เรียบเรียง

 

 

 

 

 

 



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://www.healthstation.in.th/index1.html
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/
http://gotoknow.org/blog/krunoppol/
http://baankruaeed.wordpress.com/
http://ngaochan.hi5.com/
http://www.oknation.net/blog/subaltern
http://gotoknow.org/migrantworkers

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความรัก สัจธรรม อหิงสธรรม และสัตยะคระหะแห่งมหาตมะ คานธี (2)


ความรัก สัจธรรม อหิงสธรรม และสัตยะคระหะแห่งมหาตมะ คานธี (2) / สำนักข่าวราชดำเนิน

ภิศักดิ์ 9/10/2552

 

ความรัก สัจธรรม อหิงสธรรม และสัตยะคระหะแห่งมหาตมะ คานธี (2)

 

          การ พึ่งตนเองเป็นความสามารถในการที่จะยืนอยู่บนขาของตัวเอง โดยไม่ต้องมีคนอื่นช่วยเหลือ แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นการวางเฉยหรือปฏิเสธความช่วยเหลือจากภายนอก แต่หมายถึง ความสามารถที่จะอยู่อย่างสันติกับตัวเอง และธำรงไว้ซึ่งความเคารพตนเองเมื่อการช่วยเหลือจากภายนอกไม่มีหรือได้รับการ ปฏิเสธ

          การ ทำความผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และจะต้องถือว่า การรู้จักให้อภัยเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เช่นกัน เพราะถ้าเราทำผิดพลาด เราก็อยากจะได้รับการให้อภัยมากกว่าการถูกทำโทษและถูกเตือนให้นึกถึงการ กระทำของเรา ซึ่ง การให้อภัยมิใช่เป็นการลืม คุณค่าของการให้อภัยอยู่ที่การมีความรัก แม้จะรู้อย่างชัดเจนว่าคนที่เราจะรักนั้นไม่ใช่เพื่อนของเราก็ตาม และสิ่งที่สำคัญ คือ การให้อภัยเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของคนที่เข้มแข็ง

ข้อ เท็จจริงเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ คือ การกิน การดื่ม และการเคลื่อนย้าย จำเป็นต้องรวมเอาการเบียดเบียนบางอย่างหรือการทำลายชีวิตบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเพียงเล็กน้อยก็ตาม ผู้อุทิศชีวิตให้แก่อหิสธรรมย่อมได้ชื่อว่ามีศรัทธาด้วยความจริงใจ ถ้าหากการกระทำของเขาทุกอย่างมุ่งไปสู่จุดหมาย คือ ความเมตตา กรุณา และถ้าเขาใช้ความสามารถช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ และพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อจะเป็นอิสระจากวงจรอุบาทว์แห่งการเบียด เบียน (หิงสา) เขาจะได้ชื่อว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการควบคุมตนเองและมีเมตตา กรุณา แต่เขาจะไม่สามารถเป็นอิสระจากการเบียดเบียนจากภายนอกได้ทั้งหมด

                หน้าที่ ของผู้ปฏิบัติอหิงสธรรม คือ การหยุดสงคราม ผู้ที่ไม่เท่าเทียมกับหน้าที่นั้นคือ ผู้ที่ไม่มีอำนาจที่จะหยุดสงคราม ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะยุติสงคราม อาจจะเข้าร่วมในสงคราม แต่ถึงกระนั้นก็พยายามทำจิตใจของตนให้เป็นอิสระ รวมทั้งให้ชาติของตนและโลกทั้งหมดเป็นอิสระจากสงครามให้ได้ ซึ่งอหิงสธรรมเป็นวิธีการ ส่วนสัจธรรมเป็นจุดมุ่งหมาย วิธีการจะเป็นวิธีการได้นั้นจะต้องอยู่ภายในระยะที่เราเอื้อมถึง ดังนั้นอหิงสธรรมจึงเป็นหน้าที่อันสูงส่งของเรา

                ส่วนสัตยะคระหะ คือ  การยึดมั่นในสัจธรรม โดยไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ผู้ที่เป็นศัตรู แต่ตัวเองยอมทนรับทุกข์ทรมาน หรือ การยึดมั่นกับพลังแห่งความถูกต้องหรือ พลังแห่งความรัก หรือ พลังแห่งจิตวิญญาณโดย ใช้วิธีที่ไม่ให้มีการปฏิบัติรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องได้รับการชักจูงให้หันเหจากความผิดพลาดด้วยความอดทน และความเห็นอกเห็นใจ

                สัต ยะคระหะ เป็นหลักการสุภาพอ่อนน้อม ไม่เคยทำอันตราย ไม่ใช่เป็นผลมาจากความโกรธหรือความพยาบาท ไม่ใช่เป็นการจู้จี้ไม่อดทน และไม่ใช่เป็นการกล่าวเกรี้ยวกราด ถือว่าเป็นหลักการที่นำมาใช้แทนการใช้ความรุนแรงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้ปฏิบัติตามหลักสัตยะคระหะจะต้องเชื่อฟังกฎหมายของสังคมอย่างฉลาดและ ด้วยเจตนารมณ์ที่เป็นอิสระของตนเอง เพราะเขาจะต้องพิจารณาว่าการปฏิบัติตามกฎหมายนั้นเป็นหน้าที่อัน ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาจะต้องทำ แต่เมื่อบุคคลได้เชื่อฟังตามกฎหมายของสังคมด้วยความระมัดระวังแล้ว เขาย่อมอยู่ในฐานะที่จะตัดสินว่ากฎเกณฑ์โดยเฉพาะบางอย่างแบบใจดีเป็นธรรม และแบบใดไม่เป็นธรรมและชั่วร้าย

                และ ก่อนที่เราจะทำตัวให้เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติเรื่องความดื้อแพ่งของพลเมือง เราจะต้องทำการเชื่อฟังต่อกฎหมายของรัฐอย่างตั้งใจและอย่างเคารพนับถือก่อน โดยส่วนใหญ่เราเชื่อฟังกฎหมายดังกล่าวเนื่องจากความกลัวต่อการถูกทำโทษเมื่อ ละเมิดกฎหมายเหล่านั้น ข้อนี้เป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับว่ากฎหมายดังกล่าวไม่เกี่ยวกับหลักการ ทางศีลธรรม

               

http://www.siamrath.co.th/uifont/Articledetail.aspx?nid=4351&acid=4351
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
news
http://net209.blogspot.com/ net9
http://parent-youth.blogspot.com/ parent-youth.net
http://parent-net.blogspot.com/ parent
http://netnine.blogspot.com/  science
http://pwdinth.blogspot.com/
http://senatelibrary.wordpress.com/about
http://gotoknow.org/blog/cemu/295924

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตามไปดู มทร.ธัญบุรีสอนดนตรีไทย "นักโทษชาย" โชว์ความสามารถหน้าพระที่นั่ง

วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11533 มติชนรายวัน


ตามไปดู มทร.ธัญบุรีสอนดนตรีไทย "นักโทษชาย" โชว์ความสามารถหน้าพระที่นั่ง


โดย ขติยา มหาสินธ์ oui@hotmail.com




เมื่อ เร็วๆ นี้ ภาควิชานาฏดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ได้จัดส่งนักศึกษาและคณาจารย์ที่เป็นอาสาสมัครไปสอนดนตรีไทยให้แก่ผู้ต้อง ขังชายในทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี จ.ปทุมธานี เพื่อจะได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรีไทย ต่อหน้าพระที่นั่ง ในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นประธานในพิธีเปิดห้องสมุดพร้อมปัญญา ศูนย์เกษตรธรรมชาติ ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และศูนย์การเรียนพระวิหารธรรมในพระสังฆราชอุปถัมภ์ ของทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ในราวเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2553

อาจารย์ บรรทม น่วมศิริ หัวหน้าภาควิชานาฏดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี เล่าถึงที่มาว่า ได้รับการประสานงานจากทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ว่าจะตั้งชมรมดนตรีไทยในเรือนจำ จึงขอความร่วมมือจากทาง มทร.ธัญบุรี ขอให้จัดส่งคณาจารย์และนักศึกษามาช่วยสอนดนตรีให้แก่ผู้ต้องขัง เพื่อจะได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรีต่อหน้าพระที่นั่ง หลังทราบข่าว ก็ได้มีอาสาสมัครจากนักศึกษาชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 และอาจารย์ประมาณ 9 คนไปช่วยสอน ตนตั้งใจจะให้ผู้ต้องขังแสดงดนตรีไทย 3 เพลง ตอนนี้ฝึกซ้อมเพลงมหาฤกษ์และมหาชัยแล้ว อีกเพลงอาจจะเป็นเพลงบรรเลง ถือเป็นโอกาสที่ดีของนักศึกษาเหล่านี้ เพราะจะได้เรียนรู้ประสบการณ์จริงจากการช่วยสอนดนตรี ก่อนที่จะออกไปฝึกปฏิบัติการสอนจริงในชั้นปีที่ 5 และจบออกไปเป็นครูดนตรี



"ตลอด ระยะเวลากว่า 1 เดือนที่มาสอน พบว่าผู้ต้องขังมีความตั้งใจมาก ขยันฝึกซ้อม และวันไหนที่ไม่มีตารางเรียนดนตรี ก็ยังคงฝึกซ้อมเล่นดนตรีต่อไป เรียกว่าการบ้านที่มอบหมายให้ เมื่อมาติดตาม ก็ทำได้ครบไม่มีขาด สำหรับโครงการในอนาคตนั้น มทร.ธัญบุรี อาจจะมาสอนดนตรีพื้นเมืองอีสาน เช่น โปงลาง เพราะมีนักศึกษาเรียนดนตรีด้านนี้อยู่" อาจารย์บรรทมกล่าว

ส่วน นายอารีย์ เฉลยสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี จ.ปทุมธานี กล่าวว่า ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี เป็นสถานที่จองจำนักโทษคดียาเสพติดที่เหลือโทษไม่เกิน 10 ปี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ต้องขังจำนวนกว่า 2,800 คน ที่นี่ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยนักโทษออกไปเป็นอิสระ ดังนั้น จะเน้นพัฒนาจิตใจ กล่อมเกลาทางศาสนาตลอดจนการฝึกอาชีพและการบำบัดต่างๆ ซึ่งการสอนดนตรี ก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมบำบัดและถือเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้ายในการกล่อม เกลานักโทษให้เป็นคนดีของสังคมก่อนที่จะออกจากเรือนจำ โดยก่อนหน้านี้ทัณฑสถานแห่งนี้มีทั้งกีฬาบำบัด ศิลปะบำบัด อาชีวะบำบัด เกษตรบำบัด เป็นต้น แต่ดนตรีบำบัดเพิ่งมีเป็นครั้งแรก โดยทางเรือนจำมีเครื่องดนตรีอยู่แล้ว ขาดเพียงครูสอน จึงได้ประสานงานขอความร่วมมือกับทาง มทร.ธัญบรี ในการจัดส่งครูและนักศึกษามาช่วยสอน ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งในพิธีเปิดหน่วยงานดังกล่าวแล้ว การเรียนดนตรีไทย ยังช่วยบำบัดจิตใจและคลายเครียดให้กับผู้ต้องขัง ตลอดจนเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และช่วยอนุรักษ์ดนตรีไทยให้ยั่งยืนต่อไปด้วย



ตัว แทนผู้ต้องขังกล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในพิธีเปิด ห้องสมุดพร้อมปัญญา ศูนย์เกษตรธรรมชาติ ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และศูนย์การเรียนพระวิหารธรรมในพระสังฆราชอุปถัมภ์ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธาน ก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุด ซึ่งในการแสดงดนตรีไทยตนจะรับหน้าที่ในการเป่าขลุ่ยซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมี พื้นฐานทางด้านดนตรีไทยมาก่อน จึงต้องอาศัยการท่องจำตัวโน้ตและทำเนียงเพลง ตลอดจนการฝึกซ้อมเป็นประจำสม่ำเสมอ หลังงานการแสดงนี้แล้ว ตั้งใจจะยังคงฝึกซ้อมและต่อยอดต่อไป เพราะการเล่นดนตรีช่วยผ่อนคลายความเครียดและอาจนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ หากมีความรู้ความสามารถเพียงพอ

ด้านน้องพรเทพ ปู่ประเสริฐ และน้องขวัญชัย รอดพวง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชานาฏดุริยางคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า ตอนที่ทราบว่ามีกิจกรรมนี้ได้ขอเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทันที เพราะมองว่าได้สั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะฝึกปฏิบัติสอนจริงในชั้นปีที่ 5 ซึ่งการมาสอนดนตรีไทยให้แก่ผู้ต้องขังครั้งนี้ ทำให้เห็นสภาพการทำงานจริง ได้เรียนรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง จะได้เตรียมพร้อมก่อนออกไปปฏิบัติจริง ถือเป็นประสบการณ์นอกมหาวิทยาลัยที่มีคุ้มค่าอย่างมาก สำหรับการฝึกดนตรีไทยให้แก่ผู้ต้องขัง ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับนักโทษเพราะการเรียนการสอนดนตรีไทย การจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนั้น จะต้องมีพื้นฐานมาก่อนหรือไม่ก็ควรเรียนในวัยเด็ก ก็จะทำให้จดจำและเรียนรู้ได้เร็ว แต่ในกรณีนี้ผู้เรียนไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านดนตรีไทยมาก่อนเลย และส่วนมากก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุเยอะแล้ว จึงค่อนข้างต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ตั้งใจเรียนและฝึกฝนเป็นอย่างดี ซึ่งถึงตอนนี้ก็เรียนรู้ไปได้สองเพลงแล้ว ทั้งนี้ หากมีกิจกรรมในลักษณะนี้อีกก็จะมาเสนอตัวขอมาเป็นอาสาสมัครอีก


หน้า 23
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01edu20071052&sectionid=0107&day=2009-10-07

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
wong
http://climate9.blogspot.com/ climate
http://siddhartha99.blogspot.com/ siddthartha
http://seminarsweet.blogspot.com/  ilaw
http://sunsweet09.blogspot.com/ sunsweet
http://dbd652.blogspot.com/ dbd652
http://www.thaicyberu.go.th/
http://www.youtube.com/greenpeacethailand
http://www.lek-prapai.org/

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความรัก สัจธรรม อหิงสธรรม และสัตยะคระหะแห่งมหาตมะ คานธี (1)


 
 ความรัก สัจธรรม อหิงสธรรม และสัตยะคระหะแห่งมหาตมะ คานธี (1) / สำนักข่าวราชดำเนิน

ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร2/10/2552

 

 

ความรัก สัจธรรม อหิงสธรรม และสัตยะคระหะแห่งมหาตมะ คานธี (1)

 

เมื่อ คราวที่แล้วได้เขียนถึงมหาตมะ คานธี บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเท่าที่มีมนุษย์เกิดมาบนพื้นพิภพนี้ไปแล้วบาง ส่วน แต่ในหนังสือ วจนะของมหาตมะ คานธี ที่แปลและเรียบเรียงโดยศาสตราจารย์ ดร.จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมากมายที่มหาตมะ คานธีได้เคยกล่าวและดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างไว้ จึงขอนำเสนอเนื้อหาอีกส่วนหนึ่งที่ได้จากหนังสืออันทรงคุณค่าเล่มนี้ ดังนี้

เมื่อพูดถึงความรัก มหาตมะ คานธีมี ความเชื่ออย่างมั่งคงว่า ความรักช่วยค้ำจุนโลกได้ ชีวิตจะมีอยู่เฉพาะในที่ที่มีความรัก ชีวิตปราศจากความรักเหมือนกับชีวิตที่ตายไปแล้ว ความรักเป็นด้านหนึ่งของเหรียญ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือสัจธรรม

                ความรักไม่เคยมีการเรียกร้อง มีแต่ให้ ความรักมีแต่จะยอมรับความทุกข์โดยไม่มีความโกรธเคือง  และไม่เคยมีการแก้แค้น แต่คนขลาดไม่สามารถจะมีความรักได้ เพราะความรักเป็นเอกสิทธิเฉพาะของคนกล้าเท่านั้น

มหาตมะ คานธี ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่สำคัญของชีวิตไว้ว่าคือ การดำรงชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง คิดอย่างถูกต้องและทำอย่างถูกต้อง จิตวิญญาณจะสูญสลายไปเมื่อเรามัวแต่ครุ่นคิดถึงแต่ร่างกายอย่างเดียว และเมื่อ ใดก็ตามที่เรามีความสงสัยหรือคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองมากเกินไป ให้จงนึกถึงใบหน้าของคนที่ยากจนที่สุดที่ไร้คนช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช ซึ่งเราคงจะได้เห็นมาบ้างแล้ว และถามตัวเราเองว่า ก้าวย่างของชีวิตที่เรากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจะมีประโยชน์อะไรบ้างหรือไม่ แก่คนยากจนที่สุดนั้น คนที่ยากจนที่สุดนั้นจะได้รับอะไรบ้างหรือไม่จากการครุ่นคิดของเรา และการครุ่นคิดมากเกินไปของเรานั้นจะช่วยให้มีอำนาจควบคุมเหนือชีวิตและชะตา กรรมแห่งชีวิตของเขาหรือไม่ ถ้าทำได้เช่นนี้เราจะพบว่า ความสงสัยและความครุ่นคิดคำนึงถึงแต่ตัวเองนั้นจะค่อยๆ สลายตัวไป และ จุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์อีกประการหนึ่ง คือ การชนะนิสัยเก่า การที่เราสามารถกำจัดความชั่วร้ายในตัวเรา และฟื้นฟูความดีให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ถูกต้อง

                ซึ่งบันไดขั้นแรกที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้นได้ คือ การควบคุมความคิดของเราเอง มหาตมะ คานธี เห็นว่า มนุษย์มีเหตุผล รู้จักแยกแยะเจตนารมณ์เสรีอย่างเป็นจริง ซึ่งสัตว์ป่าไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว และไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว บุญกับบาป เนื่องจากมนุษย์เป็นสื่อที่เป็นอิสระ จึงสามารถรู้ถึงความแตกต่างดังกล่าวและเมื่อได้ปฏิบัติตามคุณลักษณะอันสูง ส่งแล้วมนุษย์ย่อมแสดงตัวเองว่าสูงส่งกว่าสัตว์ป่า แต่เมื่อมนุษย์ปฏิบัติตามคุณลักษณะอันหยาบช้า มนุษย์ก็ย่อมแสดงตัวให้เห็นเช่นกันว่ามนุษย์มิได้แตกต่างอะไรไปกว่าสัตว์ป่า

สาม ในสี่ของความทุกข์และความเข้าใจผิดในโลกจะสูญสิ้น ถ้าเรารับความคิดเห็นของศัตรูและเข้าใจทัศนะของเขา ทำได้เช่นนี้ เราก็จะสามารถประนีประนอมกับศัตรูของเราหรือคิดถึงศัตรูของเราในทางทีดีขึ้น และเป็นการดีที่เราจะมองเห็นตัวเองให้เหมือนอย่างที่คนอื่นมองเห็นเรา จงพยายามเท่าที่จะทำได้ เราใช่ว่าจะสามารถรู้จักตัวเราเองอย่างเต็มที่เหมือนอย่างที่เราเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความชั่วร้ายในตัวเรา ข้อนี้เราสามารถทำได้ก็เพียงถ้าหากว่าไม่โกรธกับผู้ที่วิจารณ์เรา  แต่ยินดียอมรับอะไรก็ได้ที่ผู้วิจารณ์กล่าวถึง

          ความเป็นคนไม่ใช่อยู่ที่การเสแสร้งยกยอความกล้าอย่างบ้าบิ่นหรือความเป็นเจ้าคนนายคน  แต่ ความเป็นคนอยู่ที่การกล้าทำสิ่งที่ถูกต้อง และกล้าเผชิญกับผลของการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทางการเมือง สังคม หรือด้านอื่นใดก็ตาม ซึ่งความเป็นคนอยู่ที่การกระทำไม่ใช่อยู่ที่การพูด และความกล้าหาญไม่ใช่คุณสมบัติของร่างกาย แต่เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณ

http://www.siamrath.co.th/uifont/Articledetail.aspx?nid=4301&acid=4301
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/
http://newsblog9.blogspot.com/
http://bloghealth99.blogspot.com/
http://labour9.blogspot.com/
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ศาล ปค.สูงสุดป่วน "วรพจน์"ทิ้งเก้าอี้ตุลาการกระทันหัน วิจารณ์แซ่ดตั้ง 3 หัวหน้าคณะข้ามหัว-ปมพระวิหาร


นายอักขราทร จุฬารัตน

 
วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 10:30:48 น.  มติชนออนไลน์

ศาล ปค.สูงสุดป่วน "วรพจน์"ทิ้งเก้าอี้ตุลาการกระทันหัน วิจารณ์แซ่ดตั้ง3หัวหน้าคณะข้ามหัว-ปมพระวิหาร

ศาล ปกครองสูงสุดป่วน "วรพจน์ วิศรุตพิชญ์"ลาออกจากตุลาการกระทันหัน หลัง กศ.ป.มีมติแต่งตั้งหัวหน้าคณะใหม่ 3 คน วิจารณ์แซ่ดข้าม"อาวุโส" เผยปมขัดแย้งเรื่องแนวคิด-วิธีการทำงานมาแตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร

แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลปกครองเปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า ได้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในศาลปกครอง เมื่อนายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้ยื่นหนังสือลาออกในวันเดียวกันโดยให้มีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552   จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจาณ์อย่างหนักในศาลปกครอง


แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่คาดว่า ทำให้นายวรพจน์ตัดสินใจลาออกอย่างกระทันหัน ทั้งๆที่มีอายุเพียง 57 ปี เป็นเพราะในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง(กศ.ป.)ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน เป็นประธานใน วันเดียวกันเพื่อพิจารณาแต่งตั้งรองประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการหัวหน้า คณะในศาลปกครองสูงสุดซึ่งจะว่างลง 3 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2552 ปรากฏว่า นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและนายวรพจน์  วิศรุตพิชญ์ ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดซึ่งบุคคลทั้งสองเห็นว่า เป็นการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรมเเนื่องจากไม่เป็นไปตามลำดับอาวุโส นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันในการทำงานเนื่องจากมีแนวคิดและวิธีการทำงานที่ไม่ตรงกับผู้บริหารศาล นับแต่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวกรณีที่คณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวชมีมติสนับสนุนประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
 

แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ประชุม กศ.ป.มีมติแต่งตั้งนายพีระพล เชาวน์ศิริ ตุลาการหัวหน้คณะในศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธานศาลปกครองสูงสุด แต่งตั้งนายวิชัย ชื่นชมพูนุท นายปรีชา  ชวลิตธำรง และนายเกษม คมสัตย์ธรรม ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทั้งนายวิชัย ชื่นชมพูนุท และนายปรีชา  ชวลิตธำรง และนายเกษม คมสัตย์ธรรม สามารถสอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดพร้อมนายชาญชัย แสวงศักดิ์ เป็นรุ่นแรกซึ่งขณะนั้นนายชาญชัยดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอยู่แล้ว ขณะที่นายเกษม คมสัตย์ธรรม เป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองชั้นต้นเท่านั้น


แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับนายวรพจน์นั้น แม้จะสอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดรุ่นที่สอง แต่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองกลาง ขณะที่นายเกษม คมสัตย์ธรรมเป็นหัวหน้าคณะในศาลปกครองกลาง โดยผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดบางคนขอร้องให้นายวรพจน์ดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองกลางต่อไปก่อนเพื่อวางระบบศาลปกครองกลางให้ดีเพราะอยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มจัดตั้ง อย่าเพิ่งสอบเป็นตุลาการศาลปกครองในรุ่นแรก แต่ กศ.ป.กลับนำมาเป็นข้ออ้างว่า นายวรพจน์มีอาวุโสน้อยกว่านายเกษม คมสัตย์ธรรม จึงไม่แต่งตั้งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีจำนวน 17 คน  สำหรับรองประธานและตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดที่เกษียณอายุประกอบ ด้วย นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ นายจรัญ หัตถกรรม นายดำริ วัฒนะ สิงหะ ตามลำดับบวกกับนายวรพจน์ที่ลาออกทำให้เหลือตุลาการศาลปกครองสูงสุดเพียง 13 คน อย่างไรก็ตามมีผู้สอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้อีก 6 คน อยู่ระหว่างนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1253884824&grpid=&catid=no

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

สัจธรรมและความไม่รุนแรงตามแนวทางของมหาตมะ คานธี / สำนักข่าวราชดำเนิน

 
 สัจธรรมและความไม่รุนแรงตามแนวทางของมหาตมะ คานธี / สำนักข่าวราชดำเนิน

ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร25/9/2552

 

 

สัจธรรมและความไม่รุนแรงตามแนวทางของมหาตมะ คานธี

 

มหาตมะ คานธีเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเท่าที่มีมนุษย์เกิดมาบนพื้นพิภพนี้ แต่ปรากฏว่าหนังสือที่เกี่ยวกับแนวคิดของท่านกลับมีค่อนข้างน้อยในตลาด หนังสือเมืองไทย จนเมื่อได้มีโอกาสอ่านหนังสือชื่อว่า วจนะของมหาตมะ คานธี ที่แปลและเรียบเรียงโดยศาสตราจารย์ ดร.จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ ซึ่งท่านได้ศึกษาประวัติและผลงานของมหาตมะ คานธีมานานกว่า 20 ปี จนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงขอนำเสนอเนื้อหาบางส่วนในหนังสือเล่มนี้ที่แสดงให้เห็นถึงสัจธรรมอันเป็น แนวทางในการดำเนินชีวิตและในทางการเมืองของมหาตมะ คานธี ดังนี้

ใน เรื่องของการดำรงชีวิต มหาตมะ คานธีเชื่อในความไว้วางใจ การให้เกียรติกันและกัน โดยกล่าวว่า ความไว้วางใจกันย่อมก่อให้เกิดความไว้วางใจกัน ซึ่งความไม่รุนแรงเป็นรากฐานของความไว้ใจให้เกียรติกัน ผู้ที่ไว้วางใจให้เกียรติคนอื่นย่อมไม่เคยสูญหายไปจากโลก แต่ผู้ที่ชอบระแวงสงสัยมักจะหลงอยู่กับตัวเองและกับโลก

มหาตมะ คานธี ยังได้กล่าวว่า ตนเองเป็นคนชอบฝัน แต่เป็นความฝันที่ไม่ใช่เกี่ยวกับสิ่งในอากาศ ซึ่งคานธีเรียกตนเองว่าเป็นนักฝันที่ต้องการเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริง มากที่สุด รวมทั้งยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี โดยจัดตนเองอยู่ในกลุ่มเดียวกับโคลัมบัสและสตีเวนสัน ผู้ซึ่งมีความหวังอย่างต่อเนื่องเมื่อเผชิญกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน

ส่วน ในทางการเมืองนั้น มหาตมะ คานธี เห็นว่า โลกกำลังเบื่อหน่ายต่อความตายอันเกิดจากการหลั่งเลือด โลกกำลังแสวงหาหนทางให้พ้นจากความทุกข์ ความไม่รุนแรงจะเป็นช่องทางช่วยให้โลกพบหนทางไปสู่ความรอดพ้นจากปัญหาอัน เกิดจากความทุกข์และความรุนแรงทั้งหมดในโลกนี้ได้ ซึ่งความไม่รุนแรงไม่ใช่เป็นคุณธรรมที่จะต้องปฏิบัติเพื่อสันติสุขและโมกข ธรรมเฉพาะบุคคลเท่านั้น แต่เป็นกฎสำหรับการปฏิบัติของกลุ่ม ชุมชน และชาติทั้งหลายด้วย ความไม่รุนแรงโดยสภาพที่มีการเคลื่อนไหวนั้นหมายถึง ความทุกข์อย่างรู้ตัว ไม่ได้หมายถึงการยอมสยบให้กับเจตนารมณ์ของผู้ทำความชั่วอย่างไม่มีความคิด แต่หมายถึงการต่อต้านเจตนารมณ์ของทรราชย์ด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดของบุคคล จึงเป็นไปได้ที่บุคคลคนเดียวจะฝ่าฝืนพลังทั้งหมดของอาณาจักรที่ไม่เป็นธรรม เพื่อปกป้องเกียรติยศ ศาสนา และจิตวิญญาณของตน อันเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของอาณาจักรนั้นหรือสำหรับชนยุคใหม่ของ อาณาจักรนั้นได้

ซึ่งมหาตมะ คานธี ยังได้กล่าวถึงประเด็นนี้เพิ่มเติมอีกว่า ไม่ ใช่เป็นความรุนแรงถ้าเราเพียงรักผู้ที่รักเรา แต่เป็นความไม่รุนแรงเมื่อเรารักผู้ที่เกลียดเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากเย็นที่จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์อันยิ่งใหญ่แห่งความรักนี้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีและยิ่งใหญ่ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ยากจะทำ ความรักในบุคคลที่เราเกลียดชังเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในบรรดาสิ่งที่ยากทั้ง หมด แต่โดยอาศัยเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ยากที่สุดนี้กลับง่ายที่จะทำให้สำเร็จได้ ถ้าเราต้องการจะทำ

อีก ทั้งการปฏิวัติโดยไม่ใช้ความรุนแรงไม่ใช่เป็นการยึดอำนาจ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพ ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการโอนอำนาจโดยสันติ รวมทั้งผู้ที่สูญเสียชีวิตโดยทำการต่อสู้ถือว่าเป็นความกล้าหาญ แต่ผู้ที่ปฏิเสธที่จะต่อสู้และปฏิเสธที่จะยอมสยบให้แก่ผู้ที่ยึดอำนาจย่อม เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญกว่า อีกทั้งการดื้อแพ่งที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองจะต้องเป็นไปด้วย ความจริงใจ น่าเคารพ ควบคุมได้ อย่าเป็นไปด้วยความล่วงละเมิดกฎหมาย ต้องขึ้นอยู่กับหลักการที่เข้าใจได้ดีบางอย่าง อย่าได้มีเจตนาร้าย และเหนือสิ่งอื่นใดอย่ามีความพยาบาทหรือความเกลียดชังอยู่เบื้องหลัง

 

เมื่อไรก็ตามที่ท่านเผชิญหน้ากับศัตรู จงพิชิตศัตรูของท่านด้วยความรัก (มหาตมะ คานธี)

http://www.siamrath.co.th/uifont/Articledetail.aspx?nid=4252&acid=4252

--
http://www.kmutnb.ac.th/index.htm
http://www.ecitthai.net
http://www.tourismthailand.org/seminar/
http://www.thaihotels.org/
http://www.tuasso.com/scripts/tua.asp